ปลาบึก MEKONG GIANT CATFISH
ปลาบึกเป็นปลาไม่มีเกล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 3 เมตร มีน้ำหนักมากกว่า 250 กิโลกรัม พบเฉพาะในแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาเท่านั้น ปลาบึกถูกจัดเป็นปลาชนิดที่มีจำนวนน้อยใกล้สูญพันธุ์ [Endangered species] ชื่อซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วไป คือ Mekong giant catfish มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pangasianodon gigas เป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหาร ไม่มีฟันทั้งที่ขากรรไกรและเพดานปาก สำหรับแหล่งจับปลาบึกที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย อยู่ที่บ้านหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ ฤดูจับปลาบึกของชาวประมง จะเริ่มต้นประมาณปลายเดือนเมษายนของทุกปี จนถึงต้นเดือนมิถุนายน โดยใช้เครื่องมือมองไหล ด้วยเป้าหมายที่ต้องการจะอนุรักษ์พันธุ์ปลาบึก และเพื่อเพิ่มปริมาณปลาบึกในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงจึงได้พยายามดำเนินการเพาะขยายพันธุ์ จนประสบผลสำเร็จครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าวทำให้การศึกษาทางอนุกรมวิธานของปลาบึกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และทำให้ทราบว่าลูกปลาบึกมีลักษณะหลาย ๆ ประการที่แตกต่างไปจากปลาที่โตเต็มวัย เช่นมีฟันบนขากรรไกร และเพดานปาก และจะหลุดร่วงไปหมดเมื่อโตเต็มวัย ได้มีการนำพันธุ์ปลาบึกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจและติดตาม ทำให้ทราบว่าปลาบึกสามารถเจริญเติบโตในแหล่งน้ำธรรมชาติได้ปีละประมาณ 10 – 12 กิโลกรัม
การเพาะพันธุ์ปลาบึกในบ่อดิน
กรมประมงประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาบึกโดยใช้พ่อแม่พันธุ์จากแม่น้ำโขง ในปี 2526 จากนั้นได้ทำการศึกษาวิจัยปลาบึกรุ่นลูก (F1) โดยเลี้ยงในบ่อดินเพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์ที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยา จนมีความสมบูรณ์เพศ นำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้เป็นครั้งแรกในปี 2543 จึงได้ทำการทดลองเพาะพันธุ์ ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ในครั้งนั้นสามารถรีดไข่จากท้องแม่ปลาบึกได้ประมาณ 100 กรัม สำหรับพ่อปลาบึกรีดน้ำเชื้อได้ปริมาณมาก แต่ไข่ปลาที่ได้รับการผสมจาก น้ำเชื้อพัฒนาไปได้ระดับหนึ่งเท่านั้น และไม่สามารถพัฒนาเป็นตัวปลาได้ จากประสบการณ์และแนวทางในการเพาะพันธุ์ปลาบึกในคราวนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาบึกในปี 2544 โดยสามารถเพาะพันธุ์ปลาบึกได้ จำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2544 แม่ปลาน้ำหนัก 54 กิโลกรัม และพ่อปลาน้ำหนัก 41 กิโลกรัม ได้ลูกปลาบึกรุ่นแรก จำนวน 9 ตัว ขณะนี้เหลือรอดเพียง 1 ตัว ถือว่าเป็นปลาบึกตัวแรกที่เพาะพันธุ์ได้สำเร็จ (ปลาบึกรุ่นหลาน F2) โดยใช้เวลารอคอยนานถึง 18 ปี การเพาะพันธุ์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 แม่ปลามีน้ำหนัก 54 กิโลกรัม พ่อปลาน้ำหนัก 60 กิโลกรัม รีดไข่จากแม่ปลาได้ไข่น้ำหนัก 1,200 กรัม น้ำหนักไข่ 1 กรัม นับได้ 656 ฟอง ได้ไข่ปลา 787,200 ฟอง ไข่ได้รับการผสม 558,940 ฟอง (71.0%) ได้ลูกปลา 441,176 ตัว (อัตรารอด 56.04%) เมื่อลูกปลามีอายุ 3 วัน เหลือลูกปลาจำนวน 330,250 ตัว (41.95%) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 แม่ปลามีน้ำหนัก 47 กิโลกรัม พ่อปลาหนัก 40 กิโลกรัม ทำการเพาะพันธุ์และรีดไข่ได้ 743 กรัม น้ำหนักไข่ 1 กรัม นับได้ 506 ฟอง ได้ไข่ปลา 375,958 ฟอง ไข่ได้รับการผสม 242,004 ฟอง (64.37%) เมื่อลูกปลามีอายุ 3 วัน เหลือลูกปลาจำนวน 70,000 ตัว (18.62 %) ขณะนี้เหลือลูกปลาจากการเพาะพันธุ์ครั้งที่ 2 จำนวน 60,000 ตัว และเหลือจากการเพาะพันธุ์ครั้งที่ 3 จำนวน 10,000 ตัว ลูกปลามีขนาด 5-7 นิ้ว และกรมประมงได้สั่งการให้กระจายลูกปลาไป 4 ภาค ทั้งประเทศ เพื่อปล่อยแหล่งน้ำและจำหน่ายให้ประชาชนนำไปเลี้ยง โดยภาคใต้มีจุดรวมปลาอยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดสุราษฏร์ธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดขอนแก่น ภาคตะวันออกอยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดชลบุรี ภาคกลางอยู่ที่ศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืดพระนครศรีอยุธยา ภาคเหนืออยู่ที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยา และสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้กรมประมงได้ส่งลูกปลาชุดนี้ไปเลี้ยงยังสถานีประมงทุกแห่งทั่วประเทศ แห่งละ 50 ตัว และศูนย์พัฒนาประมงน้ำจืด แห่งละ 100 ตัว เพื่อเลี้ยงให้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในรุ่นต่อไป
ลักษณะทั่วไปของปลาบึก (Morphology)
ปลาบึกเป็นปลาขนาดใหญ่ มีรูปร่างเพรียวขาวแบนข้างเล็กน้อย ลูกปลาบึกขนาดเล็กมีสีคล้ำเหลือบเหลือง ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำตามยาว 1 – 2 แถบ ครีบหางตอนบนและล่างมีแถบสีคล้ำตามยาว ในปลาขนาดใหญ่ด้านหลังของลำตัวจะมีสีเทาอมน้ำตาลแดง ด้านข้างเป็นสีเทาปนน้ำเงินและจางกว่าด้านหลัง เมื่อค่อนลงมาทางท้องสีจะจางลงเรื่อย ๆ จนเป็นสีขาวเงิน ตามลำตัวมีจุดสีดำค่อนข้างกลมกระจ่ายอยู่ห่าง ๆ กันเกือบทั่วตัว
บริเวณจงอยปากมีรูจมูก 2 คู่ ตั้งอยู่บนริมผีปากทางด้านข้างจงอยปาก คู่หน้าอยู่ชิดกันมากกว่าคู่หลัง นัยตาของปลาบึกมีขนาดเล็กอยู่เป็นอิสระไม่ติดกับขอบตามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ใน 20 เท่า ของความยาวหัว ตำแหน่งของนัยตาอยู่ต่ำกว่าระดับมุมปาก ลูกตามีหนังบาง ๆ คลุมด้านขอบเล็กน้อยเปิดเป็นช่องรูปกลมที่กึ่งกลางกะโหลกมีจุดสีขาวขนาดเดียวกับตา 1 จุด
ครีบหลัง มีสีเทาปนดำ จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่ล้ำหน้าจุดเริ่มต้นของครีบท้อง แต่ไม่ถึงกึ่งกลางของลำตัว ก้านครีบแข็งเป็นเงี่ยงแต่สั้นและทู่ลงเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้น
ครีบอก มีสีเทาปนดำอยู่ค่อนข้างต่ำ ประกอบด้วยก้านครีบแข็งใหญ่ 1 อัน ซึ่งปลายโค้งงอได้ไม่แข็งเป็นเงี่ยง หรือหยักเป็นฟันเลื่อย ก้านครีบอ่อนมีจำนวน 10 อัน ความยาวครีบอกมีขนาดเท่าหรือเกือบเท่ากับความยาวครีบหลัง คือมีความยาวครึ่งหนึ่งของหัว
ครีบท้อง มีสีเทาอ่อน มีก้านครีบโค้งงอได้ 1 อัน มีก้านครีบอ่อนจำนวน 7 อัน
ครีบก้น มีสีเทาอ่อน มีก้านครีบแข็งที่โค้งงอได้ 5 อัน ก้านครีบอ่อน 29 – 32 อัน
ครีบไขมัน มีสีเทาปนดำ มีขนาดเล็กอยู่ค่อนไปทางครีบหาง
ครีบหาง มีสีเทาปนดำ ขนาดอ่อนข้างสั้นเว้าลึก ส่วนของแพนหางบนและล่างมีขนาดเท่ากัน
ถิ่นที่อยู่อาศัย
ปลาบึกชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีระดับน้ำลึกกว่าสิบเมตร พื้นท้องน้ำเต็มไปด้วยก้อนหินและโขดหินสลับซับซ้อนกัน ยิ่งมีถ้ำใต้น้ำด้วยแล้วปลาบึกจะชอบมากที่สุด ปลาบึกขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในระดับน้ำที่ลึกอาศัยถ้ำใต้น้ำเป็นที่หลบซ่อนตัว นอกจากนี้ยังได้ตะไคร่น้ำที่ขึ้นตามโขดหินกินเป็นอาหาร
ปลาบึกมีเฉพาะในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แม้ว่าบางครั้งอาจจับปลาบึกได้จากแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่เป็นสาขาของแม่น้ำโขง เช่น แม่น้ำสงคราม จังหวัดนครพนม แม่น้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำงึมแขวงนครเวียงจันทร์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปลาที่จับได้เชื่อแน่ว่าเป็นปลาที่เข้าไปหากินในลำน้ำเป็นการชั่วคราว ปลาบึกอาศัยในแม่น้ำโขงนับตั้งแต่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนลงมาจนถึงเมียนม่าร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไทย สารธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนกัมพูชา และสาธารณรัฐเวียดนามตอนใต้ แต่ไม่เอยปรากฏว่าพบในบริเวณน้ำกร่อยหรือบริเวณปากแม่น้ำโขงที่ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้
ประเทศไทยพบว่าปลาบึกอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงตอนที่กั้นพรมแดนไทยโดยตลอด คือนับตั้งแต่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ลงไปจนถึงอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แหล่งที่พบปลาบึกอาศัยอยู่ชุกชุมมากที่สุดอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะวังปลาบึกหรืออ่างปลาบึกบ้านผาตั้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของปลาบึกมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ในสมัยเมื่อ 40 ปีก่อน เฉพาะวังปลาบึกเคยจับปลาบึกได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 40 – 50 ตัว ส่วนปลาบึกที่จับได้ที่จังหวัดเชียงราย ชาวประมงเชื่อว่าเป็นปลาที่อพยพย้ายถิ่นมาจากวังปลาบึกที่หลวงพระบาง
การเพาะพันธุ์ปลาบึก
ขั้นตอนการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาบึกจากพ่อแม่พันธุ์ที่จับได้จากแม่น้ำโขง
1. การดูแลพ่อแม่ปลาบึกหลังจากที่จับได้ ใช้เชือกในลอนร้อยเข้าทางปากออกทางเหงือกผูกติดกับลำไม้ไผ่เพื่อพยุงตัวปลาป้องกันตัวปลาไม่ให้จมลงและป้องกันไม่ให้ปลาดิ้นมาก สามารถจะรักษาให้พ่อ – แม่ปลามีชีวิตอยู่ได้นาน 5 – 7 วัน
2. การฉีดฮอร์โมนเพื่อการผสมเทียม
การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาบึกในระยะแรก ๆ ใช้ต่อมใต้สมองของปลาไนและปลาสวาย ซึ่งใช้ต่อมจำนวนมากต่อมาปี 2535 จึงได้เปลี่ยนเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ LHPHa ชนิดต่าง ๆ ผสมกับ Domperidone
ลักษณะไข่ปลาบึกเป็นไข่ติด ซึ่งผสมพันธุ์ครั้งนี้ได้ทำ 2 วิธี
วิธีที่ 1 หลังจากที่ไข่ได้รับการผสมน้ำเชื้อแล้ว ใช้เชือกฟางผูกเป็นพวกฉีกเป็นฝอยแล้วจุ่มในไข่เพื่อให้ไข่ติดแล้วนำไปพัก
วิธีที่ 2 หลังจากที่ไข่ได้รับการผสมพันธุ์จากน้ำเชื้อแล้ว ใช้น้ำขุ่นตะกอนริมแม่น้ำโขงล้างไข่ที่ได้รับการผสมแล้วเพื่อไม่ให้ไข่ติดกัน
3. การลำเลียงไข่ปลาบึก ลำเลียงโดยทางรถยนต์ โดยจะบรรจุไข่ในถุงพลาสติกภายในถุงบรรจุน้ำประมาณ 5 ลิตร วางถุงพลาสติกบรรจุไข่บนรถกะบะพื้นรถปูด้วยผืนอวนเก่าหรือผักตบชวาและสาดน้ำจนชุ่ม
4. การเพาะฟักไข่ปลาบึก
การเพาะฟักไข่ปลาบึกแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ
- การฟักไข่ในกระชังผ้า ไข่ปลาบึกที่ผสมแล้วจะถูกโรยบนเชือกฟางที่คัดเป็นฟอง ซึ่งลอยในกระชังผ้าขนาด 1x2x0.75 เมตร ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ ไข่ฟักเป็นตัวในระหว่าง 28 – 36 ชั่วโมง
. - การเพาะฟักไข่ในกระเช้าผ้าตาถี่ ไข่ปลาบึกจะถูกน้ำมาใส่ในกระเช้าผ้าตาถี่ซึ่งแขวนให้จมน้ำลึกประมาณ 40 ซม. ในบ่อซีเมนต์ ขนาด 2x3 เมตร ซึ่งมีระดับน้ำลึกประมาณ 70 ซม. ตอนปลายของกระเช้ามีสายยาวต่อกับก๊อกน้ำเมื่อปล่อยน้ำออกจากก๊อกจะทำให้มีการไหลของน้ำภายในกระเช้าผ้า ทำให้ไข่ลอยหมุนอยู่ภายใน ไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 23-33 ชั่วโมง หลังจากไข่ผสมน้ำเชื้อ
- การเพาะฟักไข่ในบ่อซีเมนต์ นำไข่ที่ผสมน้ำเชื้อแล้วเทใส่บ่อซีเมนต์ขนาด 5 x 10 เมตร มีระดับน้ำลึกประมาณ 40 ซม. เหนือบ่อมีหลังคาคลุมอยู่ประมาณครึ่งบ่อ ภายในบ่อต่อท่อแป๊บน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว ปลายอุดและเจาะรูแป๊บน้ำถึงก้นเป็นระยะห่างกันประมาณ 20 ซม. ความยาวของท่อประมาณ 6 เมตร วางท่อตรงกลางบ่อ ปลายท่อต่อสายยางกับปั้มลม แล้วปล่อยลมไหลผ่านท่อยางเข้าสู่แป๊บน้ำตลอดเวลา ไข่ฟักเป็นตัวในระยะเวลา 26 – 33 ชั่วโมง
การอนุบาลลูกปลาบึก
การอนุบาลลูกปลาบึกวัยอ่อน (Fry Nursing)
การอนุบาลแบ่งออก 2 ระยะคือ ระยะแรกอนุบาลตั้งแต่ลูกปลาฟักออกเป็นตัว ถึงอายุประมาณ 5-6 วัน ระยะที่สองตังแต่ลูกปลาอายุ 5-6 วัน จนถึงอายุ 17–18 วัน
ระยะแรก อนุบาลลูกปลาบึกหลังฟักเป็นตัวจนถึงอายุ 5-6 วัน ในบ่อซีเมนต์ขนาด 6 ตารางเมตร ใช้อัตราปล่อย 4,167 ตัวต่อลูกบาศเมตร ให้ไรแดงมีชีวิตเป็นอาหารในอัตราไรแดง 60 กรัมต่อลูกปลา 5,000 ตัวต่อครั้งและแบ่งเวลาในการให้อาหารเป็น 2 ช่วง คือ ระยะ 3 วัน แรกให้อาหาร 8 ครั้ง หลังจากนั้นให้อาหาร 6 ครั้ง ระยะเวลาในการอนุบาลลูกปลาในบ่อซีเมนต์ มีผลต่ออันตราการรอดตายของลูกปลา กล่าวคือระยะเวลาที่เหมาสมที่ใช้ในการอนุบาลลูกปลาบึกวัยอ่อนในบ่อซีเมนต์ควรอยู่ระหว่าง 5-6 วัน พอเริ่มเข้าวันที่ 7 ของอนุบาลลูกปลาเริ่มทยอยตายและหากอนุบาลนานเกินไป จะส่งผลให้อันตราการรอดต่ำ ดังนั้นควรย้ายลูกปลาไปอนุบาลต่อในบ่อดิน
ระยะที่สอง อนุบาลลูกปลาบึก อายุ 5 –6 วัน ถึงอายุ 17-18 วัน ในบ่อดิน บ่อดินที่เหมาะสมในการอนุบาลลูกปลาบึกคือ 800 ตารางเมตร โดยปล่อยลูกปลา 18 ตัวต่อตารางเมตร ระดับน้ำลึก 60 – 70 เซนติเมตร การให้อาหารวันแรกให้ไรแดงมีชีวิต 2 กิโลกรัมต่อบ่อ วันต่อมาให้ปลาเป็ดบดละเอียดสาดทั้งบ่อ ครั้งละครึ่งกิโลกรัม ทุก ๆ 6 ชั่วโมง พร้อมทั้งให้ไรแดงเสริมอีกบ่อละ 1 กิโลกรัม หลังจาก 3 วันแล้วเปลี่ยนจากปลาเป็ดเป็นอาหารผสมมีระดับโปรตีน 27 เปอร์เซ็นต์ วันละครั้ง ๆ ละครึ่งกิโลกรัมเสริมด้วยไรแดงครั้งละ 1 กิโลกรัมทุก 3 วัน
อายุของลูกปลาที่จะนำไปอนุบาลในบ่อดินเป็นสิ่งที่ควรคำนึงเป็นอย่างมาก จากการทดลองนำลูกปลาวัยอ่อนที่ถุงไข่แดงยังยุบไม่หมดไปอนุบาลในบ่อดิน จะมีอัตราการรอกตายต่ำมากหรือตายทั้งหมดหากใช้ลูกปลาอายุ 5 – 6 วัน ซึ่งแข็งแรงพอที่จะปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ได้แล้วไปอนุบาลต่อในบ่อดินขนาดเล็ก จะมีอัตราการรอดตายที่ค่อนข้างสูง
ลูกปลาบึกที่พร้อมแจกจ่ายหรือปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
ลูกปลาที่พร้อมปล่อยลงสู่แม่น้ำโขงและอ่างเก็บน้ำควรมีขนาดความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร น้ำหนักโดยประมาณ 1 กิโลกรัม เพื่อเป็นหลักประกันว่าปลาบึกจะได้ปลอดภัยจากการถูกชาวประมงจับ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น