Home » » ปรับเปลี่ยนแนวคิด ทำการเกษตรครบวงจรที่ยั่งยืน

ปรับเปลี่ยนแนวคิด ทำการเกษตรครบวงจรที่ยั่งยืน



ปรับเปลี่ยนแนวคิด ทำการเกษตรครบวงจรที่ยั่งยืน


                ปัจจุบันคนไทยทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว  ซึ่งหมายถึง  ปลูกข้าว  ข้าวโพด  มันสำปะหลัง     ไม้ผล ฯลฯ  โดยปลูกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงชนิดเดียว    แล้วขายเอาเงินไปซื้ออาหารรับประทาน  ซึ่งการดำรงชีพของเกษตรกรไทยมิได้ยึดเงินเป็นหลัก  แต่ยึดการอยู่รอดมิให้อดอยาก  หมายถึง  แต่ละวันให้ดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินออกจากกระเป๋าก็อยู่ได้อย่างสบาย   ดังนั้นการเกษตรตั้งแต่บรรพกาลแต่ละครอบครัว             ทำการเกษตรครบวงจร  ทำให้มีอาหารให้ครบรอบเพื่อการดำรงชีพได้ครบ 12 เดือน จึงมีการปลูกพืชที่มีนาข้าวเป็นหลัก  พืชไร่ พืชผัก  ไม้ผล เลี้ยงปลาไว้ที่บ่อ เลี้ยงเป็ด  ไก่  สุกร โค  กระบือ  ฯลฯ  เป็นการเกษตรที่ครบวงจร  หมายถึง อาหารโค  กระบือ  ได้หญ้าในไร่นา  ได้ฟางหลังเก็บเกี่ยวข้าว     เมื่อต้องการใช้เงินจึงเอาผลผลิตจากการเพาะปลูกไปขายซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ    ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันมาก  เพราะปลูกพืชเพียงชนิดเดียวที่บริโภคไม่ได้
การทำการเกษตรมีอยู่  2  อย่างคือการทำการเกษตรอินทรีย์  และเกษตรเคมี  การทำเกษตรอินทรีย์  คือการที่เราเอามูลสัตว์ไปโปรยหว่านเตรียมดินในพื้นที่เพาะปลูกแล้วจึงปลูกพืช   ให้จุลินทรีย์ในธรรมชาติเข้ามาย่อยสลาย  การทำเกษตรอินทรีย์เป็นการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อไม่ให้ดินเสื่อมเสียสมดุล  เพราะ         ภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมได้ทำการเพาะปลูกด้วยการใช้มูลสัตว์หรือเอาซากพืชที่เหลือใช้จากการเพาะปลูกทำปุ๋ยหมักมาใช้ให้เกิดประโยชน์   มิได้เผาทิ้งอย่างไร้ค่า  เศษฟางใบไม้ถ้าดูผิวเผินอาจมองว่าเป็นสิ่งไร้ค่า    แต่คนโบราณจะให้ความสำคัญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือใช้จากการเพาะปลูกเหล่านี้มาก    หลังจากเก็บเกี่ยวจะมีฟางเก็บสะสมเอาไว้เลี้ยงโคกระบือ  แล้วเอามูลโคกระบือไปปรับปรุงบำรุงดิน  ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการทำเกษตรสำหรับการเพาะปลูก  และทำปศุสัตว์ไปด้วย  รายได้จึงเกิดอย่างต่อเนื่องจากการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ได้รับประโยชน์ทั้งสองทาง



                ปัจจุบันคนไทยทำการเกษตรเชิงเดี่ยว   เลือกปลูกพืชอย่างใดอย่างหนึ่ง  ไม่ครบวงจร  แล้ว            เอาผลผลิตไปขายให้กับพ่อค้าคนกลาง  และผลผลิตผลิตออกมาพร้อม ๆ กัน  ทำให้ผลิตผลิตล้นตลาด  ราคาผลผลิตจึงตกต่ำ  มีการใช้สารเคมี  ซึ่งทำให้ผลผลิตมีต้นทุนสูง  เกษตรกรจึงขาดทุน  พ่อค้าคนกลางกดราคา  เกษตรกรพบทางตันหันหลังให้กับการเกษตรแล้วหาลู่ทางไประกอบอาชีพอย่างอื่น   พร้อมทั้งไม่ยอมให้ลูกหลานเป็นเกษตรกร  เนื่องจากรายได้ต่ำ  เป็นชนชั้นต่ำในสังคม  อาชีพบันเกษตรกรไม่พบกับความยั่งยืน  ไม่มีความมั่นคง  มีสภาพหนี้สินล้นตัว  ดินทำกินได้ถูกนำไปจำนองตามสถาบันแหล่งเงินกู้ ฯลฯ  นั่นหมายถึงการล่มสลายของสถาบันเกษตรไทยที่เคยเป็นกระดูกสันหลังของชาติ  แล้วจะเริ่มทำให้สถาบันการเกษตรพบความยั่งยืนอย่างไร
แนวทางการทำเกษตรยั่งยืน
             1.ให้มีรายได้จากการเกษตรตลอดปี  เหมือนข้าราชการต้องรับเงินเดือนทุกเดือน  จะต้องวางแผนปลูกไม้ผลหลาย ๆ ชนิด  เพราะไม้ผลให้ผลผลิตออกมาไม่ตรงกัน  เช่น  มะขาม  ส้มให้ผลผลิตเดือนมกราคม  กุมภาพันธ์, มะม่วง  ให้ผลผลิตเดือนมีนาคม  เมษายน   ลิ้นจี่ให้ผลผลิตเดือนพฤษภาคม  น้อยหน่า  เงาะ ทุเรียนให้ผลผลิตเดือนมิถุนายน- กรกฎาคม  ลำไยให้ผลผลิตเดือนสิงคม  ลองกอง  ลางสาดให้ผลผลิตเดือนกันยายน    ส้มโอให้ผลผลิตเดือนตุลาคม  ฯลฯ นอกจากนี้ประเทศของเรายังมีผลผลิตจากไม้ผลมากมายอีกนับหลายร้อยชนิดที่ให้ผลตลอดทั้งปี  เช่น ฝรั่ง  มะนาว  มะพร้าว  พุทรา  ถ้าเกษตรรู้จักการวางแผนปลูกพืชที่หลากหลาย  อย่างละเล็กละน้อยจะเป็นรายได้ตลอดปี และมีผลไม้รับประทานไม่อดอยาก ไม้ผลทุกอย่างเพียงแต่ปลูกไว้อย่างละต้นให้มีกินก่อนอิ่มแล้วจึงคิดเอาไปขาย
               2. วางแผนทำการเกษตรผลิตอาหารให้มีกินตลอดปีโดยไม่ต้องซื้อ   เช่น  จะต้องปลูกข้าว  มีบ่อเลี้ยงปลา  กุ้ง หอย  กบ  ปลูกพืชผักสวนครัวที่มีความจำเป็น   เลี้ยงเป็ด  ไก่  ห่าน  ฯลฯ  ทุกอย่างจะเป็นอาหารสด ๆ  ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าอาหารที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมี
              3.  ต้องลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นในการเกษตรทุกชนิด  เช่น  สารเคมี  ปุ๋ยเคมี  ยาฆ่าแมลง   ซึ่งเกษตรกรไม่สามารถพึ่งตนเองได้  แล้วหันมาใช้ทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นผลิตปุ๋ยหมัก  (โบกาฉิ)        สารสกัดจากพืชที่มีในท้องถิ่น เลิกการใช้สารเคมี  ปุ๋ยเคมี  สารฆ่าหญ้าทุกชนิด  เพราะเป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ    ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   เร่งให้เกิดโรคระบาดเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี  สุขภาพอ่อนแอลง  เกษตรกรมีหนี้สินล้นพ้นตัว 
              4.  ใช้ทรัพยากรที่มีในท้องถิ่นอย่างชาญฉลาด เกิดประโยชน์คุ้มค่า   เห็นคุณค่าของมูลสัตว์  ฟางข้าว  ใบไม้  ซังข้าวโพด  แกลบ หญ้าสด-หญ้าแห้ง   เศษพืชผักจากตลาดสด  เศษขยะ-เศษอาหาร  ผลไม้ที่มีในท้องถิ่น  ฯลฯ  วัสดุที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง  เพราะเมื่อนำมาหมักด้วยจุลินทรีย์อีเอ็มแล้ว   จะช่วยปรับปรุงบำรุงดิน         ซึ่งเกษตรกรต้องนำเอาเศษวัสดุทุกชนิดที่มีในท้องถิ่น   นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดในการที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ  พึ่งพาตนเองได้  จะช่วยให้เกิดการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนได้   พึ่งพาปัจจัยการผลิตภายนอกน้อยที่สุด 



             5.  ปลูกพืชหลาย ๆ อย่างในพื้นที่เดียวกัน  ให้เกิดการผสมผสาน  เกื้อกูล  นำเอาวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด  หลีกเลี่ยงการปลูกพืชเชิงเดี่ยว  หรือปลูกพืชชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว  เพราะมีรายได้ปีละหนึ่งครั้ง  ผลผลิตออกมาพร้อม ๆ กันจึงถูกกดราคา  เกษตรกรจำเป็นต้องขายเพื่อแลกเป็นเงินไปเลือกซื้ออาหารในการดำรงชีพ  ดังนั้นเพื่อชะลอราคาผลผลิตตกต่ำเพื่อให้มีอาหารกิน  ต้องวางแผนทำนาให้มีข้าวกิน  มีปลา  เป็ด-ไก่ ไว้เป็นอาหาร  มีพืชผักสวนครัวหลากหลายชนิดเพื่อหลีกเลี่ยงไปจ่ายตลาด  และมีไม้ผลหลากหลายชนิดเอาไว้บริโภค แต่มีรายจ่ายออกทุกวัน  และไว้จำหน่ายให้เกิดรายได้ตลอดทั้งปี     มีวัวควายเอาไว้กินฟางกินหญ้าในสวน  และใช้แรงงาน  จะได้ใช้มูลสัตว์นำไปทำปุ๋ยหมักอีเอ็มโบกาฉิ  เพื่อนำมาปรับปรุงบำรุงดินที่มีคุณภาพดีและต้นทุนต่ำ
              6.   แหล่งน้ำถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเกษตร  ในฟาร์มจะต้องวางแผนหาแหล่งน้ำเพื่อให้สัตว์เลี้ยงกิน  นำมาปลูกพืชผัก  เพาะข้าวกล้าในฤดูฝนแล้ง  ฝนทิ้งช่วง  และใช้เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลาที่เป็นซุปเปอร์มาเกตมีอาหารสด ๆ ได้ตลอดทั้งปี

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

Translate

Popular Posts