Home
»
แนวคิดทั่วไป
»
ปฏิวัติน้ำมันพืช : เปิดรายงานสำคัญ การฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำมันมะพร้าว และลดเชื้อเอดส์
ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 16): เปิดรายงานสำคัญ การฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำมันมะพร้าว และลดเชื้อเอดส์ (ตอนจบ)
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน | 7 กุมภาพันธ์ 2557 19:11 น. |
| |
|
|
|
|
นายแพทย์ Conrado Singian Dayrit |
|
|
ณ บ้านพระอาทิตย์ โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายแพทย์ Conrado S. Dayrit ชาวฟิลิปินส์ซึ่งได้ทดลองและมีงานวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวหลายชิ้น โดยเฉพาะการฆ่าเชื้อ HIV ของผู้ป่วยโรคเอดส์นั้น ได้อธิบายเอาไว้ในการประชุม Cocotech ครั้งที่ 38 ที่เมือง เชนไน ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ในหัวข้อ "Coconut Oil in Health and Disease: Its and Monolauri's Potential as Cure for HIV/AIDS." ว่ากรดลอริกซึ่งมีมากในน้ำมันมะพร้าวประมาณ 48-53 เปอร์เซ็นต์นั้น มีอยู่ในน้ำนมแม่ประมาณ 3-18 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันกับทารกในช่วง 6 เดือนแรก ที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่พัฒนา ส่วนความสำคัญในเรื่องการฆ่าเชื้อนั้น นายแพทย์ Conrado S. Dayrit ยังระบุเรื่องสำคัญว่าโมโนลอรินที่ได้จากกรดลอริกน้ำมันมะพร้าวนั้นจะฆ่าจุลินทรีย์ที่มีไขมันเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งแบคทีเรียและไวรัสได้ด้วย จึงสามารถลดปริมาณไวรัสในผู้ป่วย HIV ได้ ซึ่งดูเหมือนว่าความเห็นนี้จะสอดคล้องกับรายงานของ Macallan และคณะในงานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2536 ในหัวข้อ Prospective analysis of patterns of weight change in stage IV human immunodeficiency virus infection. ตีพิมพ์ใน Amer. J. Clin. Nutr. 58:417-24 ที่ระบุว่า "น้ำมันมะพร้าวสามารถฆ่าไวรัสได้อีกหลายชนิด เช่น เชื้อคางทูม เชื้อเริม โรคปากเท้าเปื่อย โรคซาร์ และโรคไข้หวัดนก"
|
|
ด็อกเตอร์ Mary Gertrude Enig นักโภชนาการแห่งมลรัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่าน้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ |
|
|
สอดคล้องกับ ด็อกเตอร์ Mary Gertrude Enig ผู้เชี่ยวชาญโภชนาการแห่งมลรัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ทำงานค้นคว้าวิจัยทางวิชาการมาอย่างมากมาย ได้โต้แย้งเพื่อทำลายมายาคติเกี่ยวกับไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีความเข้าใจผิดว่าทำให้เกิดโรค และรณรงค์ให้คนหันมาบริโภคไขมันอิ่มตัวโดยเฉพาน้ำมันมะพร้าวและเนย ได้ทำงานวิจัยมาหลายชิ้นโดยระบุว่า น้ำมันมะพร้าวนอกจากจะสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายแล้ว ยังช่วยฆ่าเชื้อโรคทั้งที่เป็นแบคทีเรีย ราและยีสต์ โปรโตซัว รวมถึงไวรัสด้วย เช่น ฆ่าแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะ ไซนัส โรคทางเดินปัสสาวะ โรคฟันผุ โรคปอดบวม โรคหนองใน สามารถฆ่าเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกลาก เช่น ฮ่องกงฟู๊ท ฆ่ายิสต์ที่เป็นสาเหตุของโรคตกขาวในช่องคลอด รวมถึงฆ่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่ คางทูม เริม หวัดนก ตับอักเสบซี โรคซาร์ และโรคเอดส์ ข่าวดียิ่งกว่านั้นคือสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้เพราะยิสต์ชนิด แคนดิด้ามีปริมาณมากเกินกว่าแลคโตบัลซิลลัส ซึ่งเป็นผลทำให้ลำไส้อักเสบ และเป็นภาวะลำไส้รั่ว อันเป็นสาเหตุของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ในยุคนี้มากมายนั้น ปรากฏว่ากรดโมโนลอรินมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อยิสต์เหล่านี้ด้วย เมื่อมาถึงจุดนี้จึงกลับมาเป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำมันมะพร้าวจะฆ่าจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ในร่างกายเรา ด้วยหรือไม่ ตัวอย่างเช่น แบคทีเรียก่อโรคที่มีเปลือกหุ้มเป็นไขมัน กลุ่มนี้เรียกว่า "กลุ่มแบคทีเรียแกรมลบ" (Gram negative bacteria) ผนังเซลล์บาง ชั้นในเป็นชั้นบางของ peptidoglycan ส่วนชั้นนอกเป็นชั้นไขมันภายนอกเซลล์ มี lipopolysacharide ซึ่งเป็นสารพิษ (endotoxin) แบคทีเรียกลุ่มนี้มีแบคทีเรียที่ก่อโรค (Pathogen) หลายชนิด เช่น Salmonella , Shigella, Vibrio, Yersinia, Campylobacter jejuni, รวมถึงกลุ่ม Coliform bacteria หลายชนิด เช่น Citrobacter, Escherichia, Hafnia, Klebsiella, Serratia, Escherichia แบคทีเรียเหล่านี้มีเปลือกหุ้มเป็นไขมันและก่อโรคทั้งสิ้น กรดโมโนลอรินที่ได้จากกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวที่ทำลายเฉพาะจุลินทรีย์ที่มีเปลือกหุ้มเป็นไขมัน จึงสามารถตอบโจทย์ในการฆ่าเชื้อก่อโรคเหล่านี้ได้ ในขณะที่แบคทีเรียชนิดดีซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแบคทีเรียแกรมบวก (Gram positive bacteria) เช่น แบคทีเรียที่สร้างกรดแลกติก เช่น แลคโตบัลซิลลัส ( Lactobacillus) อยู่ในลำไส้เล็ก นั้น มีเปลือกหุ้มเป็นผนังเซลล์หนา โดยเป็นชั้นหนาของ pepticoglycan ชั้นเดียวโดยไม่มีชั้นไขมัน ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมยิสต์และเชื้อราในลำไส้ไม่ให้มีมากเกินไป ตลอดจนช่วยระบบย่อย สร้างภูมิคุ้มกัน ผลิตเอนไซม์ที่จำเป็นต่อร่างกาย ปรับสมดุลแก้อาการท้องผูกและท้องเสีย ขจัดพิษออกจากร่างกาย ปกป้องเยื่อบุทางเดินอาหาร ป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ก่อโรคเกาะติดลำไส้และหลังสารพิษออกมา สร้างกรดแลคติคที่ช่วยต่อต้านจุลชีพที่ให้โทษต่อร่างกาย เช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonellatyphidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ และช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ในเด็ก ป้องกันช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ตลอดจนยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเร็งบางชนิด รวมถึงมะเร็งลำไส้ และช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือดด้วย แต่คำถามมีอยู่ว่าน้ำมันมะพร้าวจะลดปริมาณของแลคโตบัลซิลลัสที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ปรากฏพบในงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าโมโนลอรินมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อก่อโรคที่แม้จะไม่ได้มีเปลือกหุ้มไขมันด้วย แต่เมื่อดูงานวิจัยของ J.J Kabara และคณะในหัวข้อ “The Anti-Carogenic Activity of a Food-Grade Lipid Lauricidin” ระบุว่า “โมโนลอรินที่ได้จากกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีผลต่อปริมาณแลคโตบัลซิลลัส” ในขณะที่แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งคือ บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) แบคทีเรียชนิดนี้อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ ก็อยู่ในกลุ่มแบคทีเรียแกรมบวกเช่นกัน คือไม่ได้มีเปลือกหุ้มเป็นไขมัน ประโยชน์ของแบคทีเรียชนิดนี้คือปรับสมดุลย์ แก้อาการท้องผูกและท้องเสีย แก้ปํญหาภาวะไม่ทนต่อแลคโตสในนมวัว ปกป้องเยื่อบุทางเดินอาหาร ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ในเด็ก กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะเห็นได้ว่ายาปฏิชีวนะที่เน้นการทำลายกระบวนการผลิตเอนไซม์ของแบคทีเรียที่อาจทำให้แบคทีเรียชนิดดีตายไปด้วย แต่กลับไม่ทำลายเชื้อไวรัส เชื้อยิสต์ เชื้อรา หรือโปรโตซัว ทำให้ภายในลำไส้ของเรามีจุลินทรีย์ที่ไม่สมดุล และยังอาจทำให้ดื้อยาหากแบคทีเรียหลุดรอดและกลายพันธุ์ ต่างจากการใช้น้ำมันมะพร้าวที่มุ่งทำลายได้ทั้งจุลินทรีย์ที่หุ้มด้วยไขมันและไม่ใช่ไขมัน (ทั้งแกรมบวกหรือแกรมลบที่ก่อโรค) และทำภารกิจมากกว่ายาปฏิชีวนะที่ฆ่าเฉพาะแบคทีเรีย ดังนั้นจึงได้ทำลายจุลินทรีย์ในร่างกายหลายชนิดให้ลดลง ทั้ง ไวรัส แบคทีเรีย ยิสต์ เชื้อรา โปรโตซัว และนี่คือเหตุผลว่าทำไมคนในสมัยก่อนทั่วโลกถึงได้ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นยารักษาโรคได้ เพราะนอกจากช่วยทำลายจุลินทรีย์ก่อโรคให้ลดลงโดยองค์รวม ในประเด็นนี้มีรายงานยืนยันในปี พ.ศ. 2532 โดย Iassacs และ Thormer ในหัวข้อ The role of milkderived antimicrobial lipids as antiviral and antibacterial agents. ตีพิมพ์ใน Adv Exp Med Biol. 310:159-65 ว่า โมโนลอรินไม่ทำลายเชื้อ Escherichia coli หรือ Salmonella enteritidis แต่กลับทำลายเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ (Hemophilus Influenza) เชื้อ Staphylo-coccus epidermids และเชื้อ Group B gram positive Streptococcus ที่น่าสนใจก็คือจากงานวิจัยอีกหลายชิ้นกลับพบว่า การใช้น้ำมันมะพร้าวไม่ทำให้เกิดการดื้อยาและไม่ทำอันตรายต่อระบบในร่างกายของมนุษย์อีกด้วย ในช่วงจังหวะที่ดีที่เราทำลายจุลินทรีย์หลายชนิดในร่างกายเราด้วยน้ำมันมะพร้าวแล้ว หากเสริมด้วยการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในร่างกายให้ดีด้วย คือกลุ่มโปรไบโอติก เช่น แลคโตบัลซิลลัส ( Lactobacillus) บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ด้วยการรับประทานโยเกิร์ตสด (พยายามทำเอง) หรือ น้ำเอนไซม์ที่บ่มเพาะเชื้อแบคทีเรียชนิดดี หรือ รับประทานจุลินทรีย์ในแคปซูล เช่นกลุ่มโปรไบโอติก คราวนี้ก็จะครบถ้วนสมบูรณ์แบบในการป้องกันโรคและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอย่างสมบูรณ์ จึงนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่เชื้อก่อโรคหลายชนิดชอบเจริญเติบโตได้ดีในที่มีอากาศร้อนชื้น แต่ธรรมชาติก็สร้างสรรค์ให้มีต้นมะพร้าวมาซึ่งโตได้ดีในเขตร้อนชื้นใกล้เส้นศูนย์สูตรให้น้ำมันมะพร้าวมาเป็นยาฆ่าเชื้อก่อโรคเหล่านี้ได้อย่างลงตัว |
|
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น