Home » » มาทำสวน สตรอเบอรี่กันเถอะ

มาทำสวน สตรอเบอรี่กันเถอะ

 มาทำสวน สตรอเบอรี่กันเถอะ

สตรอเบอรี่ จัดเป็นไม้ผลเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่มีการปลูกกระจายกันมากที่สุดในโลก
สามารถพบได้แทบทุกประเทศตั้งแต่แถบขั้วโลกลงมาถึงพื้นที่ในเขตร้อน ซึ่งมีความแตกต่างกัน
ทั้งสภาพภูมิอากาศและชนิดดินที่ใช้ปลูก บางพันธุ์จะพบว่าสามารถปลูก ในทางเหนือของโลก
เช่น รัฐ Alaska ได้ดีเท่ากับปลูกในทางใต้ลงมาเช่นแถบ Equator

สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปมาหลายร้อยปีมาแล้ว
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้พบว่าผลผลิต ที่ใช้สำหรับบริโภคเป็นผลสด และใช้ในเชิงอุตสาหกรรม
แปรรูปได้เพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็วตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ เป็นสาเหตุมา
จากการผสมพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตยาวนานขึ้น การนำ ระบบปลูกแบบดูแลอย่างใกล้ชิดมาใช้
ตลอดจนการเลือกพื้นที่ปลูก ที่มีความเหมาะสมมากกว่าแต่ก่อน ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการทดลอง
วิจัยที่จะหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่จะทำ ให้การปลูก สตรอเบอรี่นั้นง่ายขึ้น โดยเน้นการให้ผลผลิต
สูงและสามารถทำ รายได้ตอบแทนเป็นที่พอใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกในประเทศไทย
แม้ว่าจะมีพื้นที่ปลูกสตรอเบอรี่ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ เช่น บางอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย และในพื้นที่ บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดเลยและจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น แต่ยังมีแนวโน้มที่สามารถปลูกได้ผลพอสมควร

ในพื้นที่สูงของภาคกลาง เช่น แถบบนภูเขาของจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องมาจากความต้องการ
ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ขณะนี้สตรอเบอรี่จึงถูกพิจารณาจัดเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่
ซึ่งสามารถช่วยยกฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกนับเป็นพันครอบครัว ให้ดีขึ้นทั้งพื้นที่
ราบและบนที่สูง นอกจากนี้ยังพบว่ามีศักยภาพสูงมากสำหรับการผลิตสตรอเบอรี่เพื่อจุด
ประสงค์ในการขยายช่วงของ การเก็บเกี่ยวหรือผลิตให้ผลออกนอกฤดูกาลบนพื้นที่สูงของ
ประเทศไทยซึ่งมีสภาพอากาศหนาวเย็นพอเหมาะตลอดทั้งปีและมีอนาคต สำหรับการส่งออก
ไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งสามารถผลิตได้ในช่วงดังกล่าวอีกด้วย

ประวัติสตรอเบอรี่


ทางภาคเหนือของประเทศไทยได้มีการปลูกสตรอเบอรี่มานานหลายปีแล้ว แต่ที่นับว่า
เริ่มมีความสำ คัญเป็นพืชเศรษฐกิจก็ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ชาวอังกฤษที่มาทำ งานเกี่ยว
กับป่าไม้ในจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้นำต้นสตรอเบอรี่เข้ามาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2477 ซึ่ง ต่อมา
สตรอเบอรี่พันธุ์นี้ถูกเรียกว่า พันธุ์พื้นเมือง เพราะไม่ทราบชื่อพันธุ์ที่แน่นอน ผลของพันธุ์นี้
จะมีลักษณะนิ่ม มีขนาดเล็ก สีผลออกเป็นสีปูนแห้ง และให้ผลผลิตต่อพื้นที่ตํ่า
ต่อมาหลังจากที่ได้มีการแนะนำ วิธีการปลูกสตรอเบอรี่แล้ว ก็มีการแพร่ขยายการปลูก
ในฐานะเป็นผลไม้ชนิดใหม่ภายในส่วนของโรงเรียน และสถานีทดลองเกษตรของส่วนราชการ
ต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่ได้มี การปลูกเพื่อการค้าอย่างจริงจังก่อนถึงปี พ.ศ. 2522 มี
เกษตรกรบางรายพยายามปลูกเป็นการค้าในพื้นที่ใหญ่ ๆ แต่ก็ไม่ได้รับความ สำ เร็จเท่าที่ควร
ในปี พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ได้ทรงก่อตั้งโครง
การหลวงซึ่งปัจจุบันใช้ชื่อว่า มูลนิธิโครงการหลวง โดยมี หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นประธาน
มูลนิธิฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์ต้นนํ้าลำ ธารของพื้นที่ทาง ภาคเหนือของประเทศ หยุด
ยั้งการปลูกฝิ่งของชาวไทยภูเขา โดยหาพืชอื่นทดแทนให้ปลูกและช่วยยกระดับการครองชีพ
ตลอดจนความ เป็นอยู่ของชาวไทยภูเขาให้ดีขึ้น ดังนั้นโครงการวิจัยสตรอเบอรี่จึงเป็นอีกโครง
การหนึ่งโดยเริ่มดำ เนินการในระหว่างปี พ.ศ. 2517- 2522 โดยมีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นผู้รับผิดชอบโครงการและได้รับทุนวิจัยจากทางฝ่ายงานวิจัยกระทรวงเกษตร ประเทศสหรัฐ
อเมริกา (Agricultural Research Service ของ USDA) ระหว่างการวิจัยนี้ได้มีการนำ สตรอเบอรี่
พันธุ์ต่าง ๆ เข้ามามากมาย เพื่อทดลองปลูกตามสถานีทดลองเกษตรที่มีระดับความสูงที่ต่างกัน
รวมทั้งศึกษาเรื่องของโรคแมลงการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การบรรจุหีบห่อ และตลอดจนทาง
ด้านของการตลาด

ผลของความสำ เร็จและข้อมูลที่ได้มาจากโครงการวิจัยสตรอเบอรี่นี้ ได้นำไปใช้ในงานส่ง
เสริม ให้แก่ชาวไทยภูเขา รวมทั้งเกษตรกร พื้นราบในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ทำ ให้มีราย
ได้จากการจำ หน่ายผลผลิตสตรอเบอรี่และต้นไหลด้วย ปัจจุบันสตรอเบอรี่จึงถูกจัด เป็นพืช
เศรษฐกิจพืชหนึ่งที่ทำ รายได้ค่อนข้างดี และให้ผลตอบแทนที่รวดเร็วแก่เกษตรกรผู้ปลูกในทั้ง
สองจังหวัดนี้

พันธุ์สตรอเบอรี่

ตั้งแต่ พ.ศ. 2512 จนถึงพ.ศ. 2541ได้มีการนำ สตรอเบอรี่พันธุ์ต่างๆ จากต่างประเทศ
เข้ามาทดลองปลูกมากมาย จากปี พ.ศ.2515 ปรากฎว่าพันธุ์ Cambridge Favorite, Tioga และ
Sequoia โดยรู้จักกันในนามพันธุ์พระราชทานเบอร์13,16 และ 20 ตามลำ ดับ ได้ถูกพิจารณา
พ.ศ. 2528 ได้มีการนำ พันธุ์ Akio Pajaro และ Douglas จากอเมริกาทดลองปลูกในสถานีโครง
การหลวงที่ดอยอินทนนท์ แต่ก็ไม่ประสบผลสำ เร็จ ต่อมาอีกหนึ่งปีได้มีการนำ พันธุ์ Nyoho
Toyonoka และ Aiberry จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาทดลองปลูก ผลปรากฎว่าสองพันธุ์แรกสามารถ
ปรับตัวได้ดีบนพื้นที่สูง หลังจากนั้นมาเริ่มมีผู้นำ พันธุ์อื่นๆ เข้ามาปลูกทดสอบมากมาย จน
กระทั่งมีการตั้งพันธุ์ Toyonoka เป็นพันธุ์พระราชทาน 70 (ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2540 ที่พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 70 พรรษา) และพันธุ์ B5 เป็นพันธุ์พระราช
ทาน 50 ปี (ปี พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นปีฉลองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี) ปัจจุบันพันธุ์สตรอเบอรี่ที่
นับว่าปลูกเป็นการค้าส่วนใหญ่ของประเทศได้แก่ พันธุ์พระราชทาน 16, 20, 50 และ 70 นอก
จากนี้ยังมีพันธุ์ Nyoho, Dover และ Selva บ้าง ในบางพื้นที่

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จนถึงขณะนี้ทางศูนย์ค้นคว้าและพัฒนาระบบเกษตรในเขตที่สูง
และสถานีวิจัยดอยปุยของสำ นักงานโครงการ จัดตั้งสถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบเกษตรใน
เขตวกิ ฤต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็กำลังดำเนินการวิจัยศึกษาหาข้อมลู ของสตรอเบอรี่
เพิ่มเติมมา โดยตลอดรวมทั้งเทคนิควิธีการปลูกและการดูแลแบบสมัยใหม่เหมือนในต่างประเทศ
ที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรม การค้า โดยจะนำ ผลงานที่ได้เหล่านี้ทำ การส่งเสริมเผยแพร่หรือจัดฝึก
อบรมให้เกษตรกรผู้ปลูกในพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป

พื้นที่การผลิต



พื้นที่การปลูกสตรอเบอรี่ของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535
เป็นต้นมา เนื่องมาจากการขยายตัวของตลาด ทั้งภายในและภายนอกประเทศโดยเฉพาะใน
ด้านการนำ มาแปรรูปพื้นที่การผลิตส่วนใหญ่จะอยู่ในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เพราะ
ว่าสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ต่อมา
พบว่าพันธุ์ Tioga สามารถปรับตัวได้ดีทั้งพื้นที่ปลูกบนภูเขาสูงระดับ 1,200 เมตร และพื้นที่ราบ
ของทั้งสองจังหวัด เกษตรกรขณะนั้นเกือบทั้งหมดใช้พันธุ์นี้ปลูกเป็นการค้ากันทั่วไป โดยไม่มีพันธุ์
อื่นมาแทนที่มีอากาศเย็นที่สตรอเบอรี่ สามารถให้ผลผลิตได้ ในระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือน
มีนาคมรวมพื้นที่การผลิตทั้งประเทศประมาณ 2,600-3,000 ไร่ต่อปี

1. เชียงใหม่ สามารถแบ่งพื้นที่ปลูกออกมาตามอำ เภอต่าง ๆ ได้ดังนี้ คือ ฝาง แม่ริม
สะเมิง จอมทอง (บนดอยอินทนนท์) และพื้นที่รอบๆ ตัวเมือง ผลผลิตส่วนใหญ่ของพื้นที่ปลูก
ในอำ เภอแม่ริม ดอยอินทนนท์และพื้นที่รอบๆ เมืองเชียงใหม่จะทำ การจำ หน่าย เป็นผลรับ
ประทานสดแก่นักท่องเที่ยว และขนส่งเข้าตลาดที่กรุงเทพมหานครเป็นหลัก ส่วนผลผลิตที่
อำ เภอสะเมิงและฝางจะส่งจำ หน่าย ให้แก่โรงงานใกล้เคียงเพื่อทำ การแปรรูป ปัจจุบันในปี
พ.ศ.2539-41 พื้นที่ปลูกสตรอเบอรี่ในอำ เภอสะเมิงมีประมาณ 2,000-2,500 ไร่ ในขณะที่
อำ เภอฝางมีประมาณ 200 ไร่

2. เชียงราย พื้นที่หลักในการผลิตสตรอเบอรี่อยู่ที่อำ เภอแม่สาย และอาจมีกระจาย
บ้างอยู่ทั่วไป ๆ บริเวณใกล้เคียง ผลผลิต ส่วนใหญ่ประมาณ 60% จะส่งเข้ากรุงเทพมหานคร
เพื่อจำ หน่ายเป็นผลรับประทานสด นอกนั้นจะทำ การส่งเข้าโรงงานเพื่อแปรรูป ประมาณ 20%
และเกษตรกรจะจำ หน่ายเองให้กับนักท่องเที่ยวอีก 20% เนื่องจากมีโรคระบาดและต้นตายมาก
หลังปลูกจึงทำ ให้ พื้นที่ปลูกในปี พ.ศ. 2535 ประมาณ 800 ไร่ ลดลงเหลือ 350 ไร่ ใน พ.ศ.
2537 และ 250 ไร่ใน พ.ศ. 2540 นอกจากนี้เกษตรกร บางรายได้ขายที่ดินหรือเปลี่ยนไปใช้
ในวัตถุประสงค์อื่น จึงทำ ให้พื้นที่ปลูกลดลงด้วย ปัจจุบันเกษตรกรในอำ เภอแม่สายสามารถผลิต
สตรอเบอรี่ได้เพียง 60% ของความต้องการของตลาดเท่านั้น

3. สตรอเบอรี่ยังถูกปลูกกันโดยทั่วไปบนที่สูงในหลายจังหวัดของภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ เช่น อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ทางตะวันตก
เช่น เทือกเขาในอำเภอทองผาภูมิและอำเภอสังขละ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้นซึ่งคาดว่าอาจจะ
เป็นแหล่งผลิตที่สำ คัญต่อไปในอนาคตสำหรับการปลูกสตรอเบอรี่ของประเทศไทย

การตลาดและเศรษฐกิจประเทศไทยมีการส่งออกผลสตรอเบอรี่ ในเชิงอุตสาหกรรมไปยังต่าง
ประเทศตั้งแต่ปีพ.ศ. 2531 และสามารถทำ รายได้หลายร้อย ล้านบาทต่อปี ประเทศหลักที่ส่งไป
จำ หน่ายได้แก่ญี่ปุ่น อย่างไรก็ดีปริมาณการส่งออกในระยะสองสามปีที่ผ่านมาลดลงเนื่องมาจากมี ประเทศคู่แข่งคือ สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลี การที่ไม่ได้มีพัฒนาทางด้านการปลูกแบบสมัยใหม่เพื่อ
ให้ผลผลิตมากขึ้น หรือไม่มี การเปลี่ยนเป็นพันธุ์ใหม่ที่ตลาดต้องการรวมทั้งภายในประเทศเองก็มี
การใช้บริโภคทั้งผลสดและแปรรูปมากขึ้นก็นับว่าเป็นหลาย ๆ สาเหตุประกอบกันในอำเภอแม่สาย
และพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่นั้น มูลค่าต้นทุนของการผลิตต่อไร่ตกประมาณ 25,000-30,000 บาท
และรายได้ ตอบแทนต่อไร่ 62,500 บาท (คิดจากค่าเฉลี่ย2,500 กก. ต่อไร่และ 25 บาทต่อ กก.)
ขณะที่เกษตรกรบนดอยอินทนนท์ใช้ต้นทุน การผลิตไร่ละ 30,000-35,000 บาท และมีรายได้ไร่ละ 72,500 บาท เนื่องจากสามารถขายเป็นผลรับประทานสดแก่นักท่องเที่ยว และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานกว่าพื้นราบ ปกติแล้วผลผลิตจะออกประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคมในพื้นที่ปลูก
บนที่สูงและระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายนในพื้นที่ปลูกบนพื้นราบ ผลผลิตที่ออกก่อนในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมจะมีคุณภาพดีและ ขนาดใหญ่ ทำให้จำหน่ายได้ในราคาสูงประมาณ 70-80 บาทต่อกิโลกรัมในท้องตลาดทั่วไป หลังจากนั้นขนาดผลจะเล็กลง และ จำหน่ายได้ในราคา 20-30 บาทต่อกิโลกรัมในช่วงเดือนมกราคมถึงกลางเดือนมีนาคม

ปัจจุบันยังมีความต้องการของตลาดทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อใช้ผลิตของสตรอเบอรี่ในเชิงอุตสาหกรรมเป็นปริมาณมากมายต่อปี และกำ ลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนประชากร
ประเทศญี่ปุ่นเป็นแหล่งใหญ่ของไทยในการนำ เข้าผลสตรอเบอรี่ เพื่อใช้ ในการแปรรูปมากที่สุด
(ที่ผ่านมาประมาณ 1,000-3,000 ตัน ต่อ ปี) นอกจากนี้ยังเคยมีการขนส่งผลรับประทานสดไป
จำหน่ายยังประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ และบางประเทศในแถบยุโรปบ้างเล็กน้อยโดยมูลนิธิ
โครงการหลวงอีกด้วย

การปลูกสตรอเบอรี่




ด้วยระบบการปลูกสตรอเบอรี่ ในปัจจุบันของประเทศ ไทย ต้นไหลจะถูกบังคับให้เกิดการพัฒนา
ของตาดอกและเพื่อความแข็งแรงก่อนปลูก โดยการปล่อยให้ได้รับอุณหภูมิเย็นในเวลากลางคืน
บนที่สุดซึ่งจะทำ ให้ออกดอกได้เร็วกว่าต้นไหลที่ผลิตบนพื้นราบการปลูกบนพื้นราบ หลังจาก
เก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้ว ตอนปลายเดือนมีนาคมถึงต้น

เดือนเมษายน ต้นไหลทั้งหมด ที่ออกมาจะถูกปลูกลงในถุงพลาสติกเล็กที่บรรจุดินแล้วขนาด
3 x 5 ซม. และปล่อยให้เจริญเติบโตในแปลงจนกระทั่งเดือนมิถุนายน จึงขนขึ้นไปปลูกบนที่สูง
ประมาณ 1,200-1,400 เมตร เพื่อผลิตต้นไหลต่อไปซึ่งจะตรงกับช่วงฤดูฝน (มิถุนายน-
ตุลาคม) หลังจากที่ ปล่อยให้ต้นไหลที่เจริญอยู่ในถุงพลาสติก และได้รับความหนาวเย็นบนที่สูง
จนเพียงพอแล้วจะนำ ลงไปปลูกในแปลงที่พื้นราบไม่เกิน ต้นเดือนตุลาคม เพราะถ้าหากปลูกช้า
เกินไปจะทำ ให้ผลผลิตออกช้าตามไปด้วย ต้นไหลที่ผลิตได้จากบนที่สูงนี้จะสามารถตั้งตัวและ
ออกดอกได้เร็วกว่า (ประมาณเดือนธันวาคม) ปกติเกษตรกรจะใช้ระยะปลูก 30 x 40 ซม.
สำ หรับการปลูกแบบสองแถว และระยะปลูก 25 x 30 ซม. สำหรับการปลูกแบบสี่แถว ดังนี้จะ
ใช้จำ นวนต้นไหลทั้งหมดประมาณ 8,000-10,000 ต้นต่อไร่ การคลุมแปลงนั้นจะใช้ ฟางข้าว
ใบตองเหียง หรือใบตองตึง อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือร่วมกันก็ได้คลุมระหว่างแถวในแปลงยกร่อง
(โดยจะทำ การคลุมก่อนหรือ หลังจากปลูกได้ 1-2 สัปดาห์แล้วแต่พื้นที่) ดอกแรกจะบานได้ใน
ราวต้นเดือนพฤศจิกายน และสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงเดือนมีนาคมในพื้นที่
ปลูกของจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนจังหวัดเชียงรายซึ่งมีสภาพอากาศที่เย็นกว่าจะเก็บเกี่ยวต่อไปได้
อีกจนถึงเดือน เมษายน

เมื่อถึงปลายฤดูการเก็บเกี่ยวซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้น ต้นไหลที่เจริญออกมาก็จะถูก
บังคับให้เจริญในถุงพลาสติกขนาดเล็กใส่ดิน เหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และเตรียมไว้ใช้
เป็นต้นแม่สำ หรับการขนขึ้นไปขยายต้นไหลบนที่สูงต่อไปเป็นวงจรเหมือนกันทุก ๆ ปี
การปลูกบนที่สูง เมื่ออากาศร้อนขึ้นในปลายช่วงของการเก็บเกี่ยวคือประมาณปลาย
เดือนพฤษภาคม ต้นสตรอเบอรี่จะมี การสร้างไหลและต้นไหลออกมา ต้นไหลเหล่านี้จะถูกขุด
ขึ้นมาปลูกลงในถุงพลาสติกเหมือนในพื้นที่ราบราวกลางเดือนสิงหาคม (มีเกษตรกรบางรายที่
ปล่อยให้ต้นไหลเจริญในแปลงโดยตรงซึ่งไม่ได้ชำ ลงในถุงพลาสติก) และปล่อยให้เจริญอยู่ใน
แปลง จนกระทั่ง ปลายเดือนกันยายนเพื่อให้แน่ใจว่าต้นไหลเหล่านี้ได้รับความหนาวเย็นจน
เพียงพอต่อการเกิดตาดอกสำ หรับเป็นต้นที่ใช้ปลูกในคราว ต่อไป ก่อนปลูกนั้นเกษตกรบนที่สูง
ซึ่งส่วนมากเป็นชาวไทยภูเขาจะทำ การยกแปลงปลูก และคลุมแปลงด้วยใบตองเหียงหรือใบตอง
ตึง ต่อจากนั้นจึงเจาะรูโดยใช้กระป๋องนมที่ทำ การเปิดปากออกแล้วกดลงไปบนวัสดุคลุมแปลง
ให้เป็นรูช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสมเพื่อให้ ได้รับผลผลิตสูงที่สุดคือก่อนปลายเดือนกันยายนเป็น
อย่างช้าปกติจะปลูกเป็นแบบแถวเดี่ยว หรือแถวคู่โดยใช้ระยะปลูก 25 x 30 ซม. บางพื้นที่จะ
ทำ การปลูกเป็นแบบขั้นบันไดจึงทำ ให้แถวแคบกว่าการปลูกในพื้นราบ ผลผลิตจะเริ่มเก็บเกี่ยว
ได้ระหว่างต้นเดือน พฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม โดยในระหว่างกลางเดือนธันวาคมถึงกลาง
เดือนมกราคม ต้นสตรอเบอรี่อาจจะชะงักการเจริญเติบโต เล็กน้อยและไม่ให้ผลผลิตเนื่องจาก
สภาพอากาศที่หนาวเย็นเกินไปในเวลากลางคืน (ตํ่ากว่า 10 ํC) เป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมง
การปลูกทั้งในพื้นที่ราบและบนที่สูง จะให้นํ้าโดยปล่อยให้ไหลผ่านไปตามร่องของแปลง
ปลูก (Furrow irrigation) แหล่งนํ้าที่ได้อาจมา จากบ่อ สระ หรือคลองเล็ก ๆ ซึ่งไม่จัดว่าเป็นนํ้า
ที่สะอาดและอาจมีเชื้อโรคต่างๆ สะสมอยู่ในนํ้านั้น อย่างไรก็ดีมีบางพื้นที่มีการให้นํ้า แบบสปริง
เกอร์ (Sprinkle system) โดยใช้นํ้าบาดาลที่สูบขึ้นมาซึ่งนับว่าเป็นระบบที่ดีกว่าที่กล่าวข้างต้น
เพราะทำ ให้ลดการแพร่ระบาด ของเชื้อโรคที่จะไหลไปยังแปลงอื่น ๆ โดยมีนํ้าเป็นตัวพา
ปกติเกษตรกรจะทำ แปลงปลูกต้นสตรอเบอรี่ให้อยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ทั้งนี้เพื่อให้ต้นได้
รับแสงเต็มที่เป็นการเพิ่มการเจริญเติบโต และสี ของผลก็จะพัฒนาได้ดีขึ้น สภาพพื้นที่ปลูก
สตรอเบอรี่ โดยทั่วไปจะอยู่ใกล้ตลาดหรือโรงงานแปรรูปหรือเป็นพื้นที่เดิมที่ใช้ต่อเนื่องกันมา
ทุก ๆ ปี โดยมีการปลูกพืชอื่นหมุนเวียนเป็นส่วนใหญ่ โดยทั่วไปก่อนทำ การปลูกสตรอเบอรี่นั้น
เกษตรกรไม่ได้ทำ การอบดินในแปลงปลูก ด้วยสารเคมีเพื่อควบคุมโรคในดิน ไส้เดือนฝอย หรือ
วัชพืชแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีการ ปลูก
สตรอเบอรี่ที่ถูกต้อง ตลอดจนถึงการดูแลรักษา และการควบคุมศัตรูพืชด้วย
เนื่องมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดที่ใช้ผลผลิตสตรอเบอรี่ในเชิงอุตสาห
กรรมทำ ให้มีความต้องการต้นไหลในปัจจุบันมาก กว่า 25-30 ล้านต้นต่อปี ราคาของต้นไหลที่
จำ หน่ายจะขึ้นกับปริมาณมากน้อยของแต่ละปี รวมทั้งขนาดของต้นไหลเองอีกด้วย ซึ่ง ส่วนใหญ่
จะจำ หน่ายกันในราคา 1-1.50 บาทต่อต้น

การเก็บเกี่ยว


ผลผลิตรวมทั้งประเทศนั้นส่วนใหญ่ประมาณ 40% จะถูกขนส่งเข้าสู่ตลาดกรุงเทพ
มหานครเพื่อจำ หน่ายเป็นผลสดอีก 40% จะส่งเข้า โรงงานเพื่อทำ การแปรรูปสำ หรับใช้ภายใน
และส่งออกต่างประเทศ จะส่งเข้าโรงงานเพื่อทำ การแปรรูปสำ หรับใช้ภายในและส่งออกต่าง
ประเทศ และส่วนที่เหลืออีกประมาณ 20% จะจำ หน่ายเป็นผลสดและแปรรูปในอุตสาหกรรม
แบบครัวเรือนให้กับนักท่องเที่ยว ภายในท้องถิ่นนั้น ๆ

ผลที่ใช้รับประทานสดจะถูกเก็บเกี่ยวและแบ่งเกรดโดยเกษตรกรเองในโรงเรียนชั่วคราว
ใกล้แปลงปลูก ผลจะถูกแบ่งเกรดตาม การพัฒนาของสีออกเป็น 3 กลุ่มคือ 61-80 % สำ หรับ
จำหน่ายในท้องถิ่น 41-60 % สำหรับจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวและ 21-40 % สำหรับขนส่ง
เข้ากรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งจากพื้นที่ปลูกบนที่สูงสู่ตลาดพื้นราบ
ทำให้เกษตรกรบางราย เก็บเกี่ยวขณะที่สีของผลพัฒนาเพียง 10-15 % ตามร้านขายผลไม้ใน
ตลาดสดและร้านจำ หน่ายข้างทางจะจำ หน่ายโดยชั่งนํ้าหนักเป็น กิโลกรัมแล้วบรรจุลงในถุง
พลาสติกสำหรับการจำหน่ายเป็นผลรับประทานรับประทานสดของมูลนิธิโครงการหลวงนั้นผล
จะถูกแบ่งเกรด ตามนํ้าหนักและคุณภาพแล้วบรรจุวางเรียงสองชั้นในถาดพลาสติกใส (แต่เดิม
ใช้ถาดโฟมบรรจุชั้นเดียว) หุ้มด้วยพลาสติกบางเพื่อไม่ให้ ผลเคลื่อนที่ในขณะเวลาขนส่งและใส่
รวมกันชั้นเดียวในกล่องกระดาษแข็งสำ หรับใส่ผลไม้ ปกติจะบรรจุถาดละ 250-260 กรัม เพื่อ
ขาย ตามซุปเปอร์มาเกตหรือร้านค้าทั่วไป

ผลสตรอเบอรี่ ที่ใช้ในการแปรรูปจะถูกเก็บมาจากแปลงปลูกและขนส่งมาที่โรงงาน (ผลอาจจะ
จะถูกตัดขั้วออกก่อนนำ มาส่งหรือตัดที่ โรงงาน) แบ่งคัดตามเกรดล้างด้วยนํ้าที่สะอาด
หลังจากนั้นผลบางส่วนจะถูกแช่แข็งเลยทันที และบางส่วนจะนำ มาใส่ถุงพลาสติกที่บรรจุ อยู่ใน
ภาชนะเช่น ปี๊บแบบที่ใส่นํ้ามันก๊าด และใส่นํ้าตาลบนผลสตรอเบอรี่ตามสัดส่วนที่ตลาดเป็นผู้
กำ หนดมาเช่น นํ้าหนักผล 14 กก. ต่อนํ้าตาลทรายขาว 1.2 กก. เป็นต้น หลังจากนั้นจะทำ การ
ปิดฝาและรีบนำ เข้าห้องเย็นแบบแช่แข็งเตรียมขนส่งไปยังต่างประเทศต่อไป

ปัญหาสตรอเบอรี่

1. พันธุ์ Tioga ได้ถูกปลูกมาเป็นเวลานานเกือบ 30 ปีแล้ว โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนเป็น
พันธุ์ใหม่ที่ดีกว่า ขณะนี้เกษตรกรกำ ลังต้องการ พันธุ์ใหม่ที่ตลาดต้องการมาทดแทน เนื่องจาก
พันธุ์นี้มีช่วงการเก็บเกี่ยวที่ค่อนข้างสั้น ผลมีขนาดเล็กซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของตลาด รับ
ประทานผลสด รวมทั้งรสชาติที่ค่อนข้างเปรี้ยวไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค

2. เนื่องมาจากปัญหาต่าง ๆ เช่น ไม่มีการคัดเลือกต้นแม่ที่มีคุณภาพในการขยายต้น
ไหล ขาดวิธีจัดการที่ดีทางเขตกรรมในแปลงก่อน และหลังการปลูก รวมทั้งการ
ใช้ต้นแม่พันธุ์
เก่าขยายต้นไหลอย่างสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานหลายสิบปี โดยไม่ได้มีการใช้ต้นแม่พันธุ์ ที่
ผ่านการรับรองซึ่งได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเจริญและปลอดโรค จึงทำ ให้ต้นไหลที่ได้อ่อนแอ
ให้ผลผลิตตํ่าในช่วงของฤดูกาลปลูก ผลผลิตที่ได้ก็มีคุณภาพที่ไม่ดีตามไปด้วย ขนาดของผลเล็ก
ลงมากในช่วงกลางและปลายฤดูจนไม่สามารถจำ หน่ายได้ ซึ่งถือว่าเป็น การสูญเสียอย่างมาก

3. ผลที่เก็บเกี่ยวมาไม่มีการพัฒนาของสีหรือความสุกที่เป็นเกณฑ์มาตรฐาน(ซึ่งโดยทั่ว
ไปควรจะให้มีการพัฒนาของสีอยู่ระหว่าง 50-70 % บนผิวผล) ในประเทศไทยเกษตรกรผู้
ปลูกสตรอเบอรี่จะเก็บเกี่ยวผลหลายช่วงของการพัฒนาของสีโดยขึ้นอยู่กับตลาด ปัญหาที่เกิด
ขึ้นคือความไม่มีรสชาติของผลที่สุกไม่เต็มที่ เนื่องจากสตรอเบอรี่จัดเป็นผลไม้พวก Nonclimacteric
ซึ่งต้องเก็บเกี่ยว ตอนผลสุกจึงจะให้รสชาติที่ดี นอกจากนี้ผลมีความชอกชํ้าง่ายใน
ขณะขนส่ง ทำ ให้กลายเป็นผลเกรดตํ่าอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงตลาด ในสภาพอากาศร้อน การ
พิจารณาช่วงเก็บเกี่ยวที่เป็นมาตรฐานและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่มีประสิทธิภาพ ควรนำ
มาใช้ในการปลูกสตรอเบอรี่ที่เป็นการค้าอย่างจริงจัง

4. เนื่องมาจากการเข้าทำ ลายของโรคทางราก และลำ ต้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทำ ให้
พื้นที่การปลูกสตรอเบอรี่บางแห่งลดปริมาณลงไปกว่าครึ่ง เช่น ที่อำ เภอแม่สายและฝาง ปัจจุบัน
ก็ยังเป็นปัญหาอยู่โดยเกษตรกรขาดความรู้ความเข้าใจในการแก้ไข หรือ การควบคุมป้องกัน
เรื่องโรคแมลงที่เป็นศัตรูต่าง ๆ รวมทั้งยังขาดการประสานงานและความช่วยเหลืออย่างทันเหตุ
การณ์ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นอีกด้วย

5. ราคาผลผลิตต่อกิโลกรัมที่ค่อนข้างตํ่ากว่าที่ควรจะเป็น เช่น ผลผลิตส่งโรงงาน
กิโลกรัมละ 8-13 บาท และผลรับประทานสดเฉลี่ย กิโลกรัมละ 20-30 บาท
งานที่ต้องดำ เนินการในอนาคต
การนำ เข้าสตรอเบอรี่พันธุ์ใหม่ ๆ จากต่างประเทศที่ให้ผลผลิตได้เร็ว คุณภาพดีและ
เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นไม่มาก (Low chilling cultivars) มาทำ การทดลองปลูกอย่าง
สมํ่าเสมอทุก ๆ ปีเท่าที่จะสามารถกระทำ ได้ ซึ่งมีความจำ เป็นต้อง และพันธุ์คาฮัวคูล่า (Ka Hua
Kula) ทั้งสองพันธุ์เคยนำ มาปลูกในเมืองไทยแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2517 ในอาฟริกาใต้ มีพันธุ์
แปรงมัลเฮเบ (Frank Malherbe และ Fan Retief)ในออสเตรเลีย ได้ทดลองปลูกฝรั่งสายพันธุ์
จากฮาวายไว้หลายเบอร์แต่ clone ทไี่ ด้แนะนาํ ไว  คือ clone หมายเลข GA 11-56T7,
ในแคลิฟอร์เนียคุณลักษณะของฝรั่งบางพันธุ์ พันธุ์ Beaumont ผลนํ้าหนักประมาณ 235 กรัม
มีความเป็นกรดค่อนข้างตํ่า (pH) ประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์เนื้อสูง สีชมพูกลิ่นหอม มีคุณภาพ
การแปรรูปเป็น puree (เนื้อฝรั่งบดหรือปั่น เป็นวัตถุดิบในการแปรรูป) ดีเยี่ยม พันธุ์ Ka Hau
Kula นํ้าหนักผลประมาณ 207277 กรัม เนื้อสีชมพู พันธุ์ Blitch มีผลทรงกลมมีรูปไข่ นํ้าหนัก
ประมาณ 112 กรัม พันธุ์ Patillo มีผลทรงกลมรูปไข่คล้ายพันธุ์ Blitch แต่กลมกว่า ทั้ง 2 พันธุ์
นิยมปลูกเพื่อใช้คั้นนํ้า เพราะมีกรดสูงพันธุ์ Fan Retief รูปร่างคล้ายสาลี่ยุโรป ค่อนข้างกลม
เนื้อแน่น สีชมพู รสเปรี้ยวเล็กน้อย ไวตามินซีสูง ทนต่อการขนส่งได้ดีมาก ผลไม่ร่วงง่ายเมื่อสุก
จึงน่าจะใช้เป็นแม่พันธุ์ในการปรับปรุงพันธุ์สำ หรับฝรั่งคั้นนํ้า พันธุ์ Frank Malherbe เป็นพันธุ์
หนักกว่าพันธุ์ Fan Retief ผลสีเหลืองหรือเหลืองแก่ อาจมีสีแดงเป็นจํ้าๆ เนื้อสีแดงเข้ม แน่น
แก่จัดจะฉํ่านํ้า รสหวาน คุณภาพดีมากสำ หรับทั้งกินสดและแปรรูป ไวตามินซีสูงมากเมล็ดน้อย

คุณลักษณะของพันธุ์ฝรั่งสำ หรับคั้นนํ้า ควรมีลักษณะ คือ

1. ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เติบโตเร็ว ให้ผลผลิตได้เองโดยไม่ต้องใช้สารเคมีบังคับ
2. ให้ผลผลิตสูง คือ ออกดอกติดผลดก และผลใหญ่
3. เนื้อผลสีแดงหรือชมพูจะดีกว่าเนื้อสีเหลือง หรือสีขาว
4. มีนํ้าตาล (TSS) และกรดต่าง ๆ สูง คือ เปรี้ยวจัด
5. ควรมีไวตามินซีสูง
6. มีกลิ่นหอมแรง
(Day-neutral cultivars) ก็สมควรที่จะต้องทำ การศึกษาหาข้อมูลในการปลูกบนพื้นที่
สูงเพื่อผลิตผลสตรอเบอรี่สดนอกฤดูด้วย สำ หรับ ปัญหาในด้านการแปรรูปเช่นพันธุ์ที่เหมาะสม
และตลาดส่วนใหญ่ต้องการระบบการปลูก รวมทั้งราคาผลผลิตที่ค่อนข้างตํ่าอยู่ในขณะนี้ ก็สม
ควรที่จะต้องถูกนำ มาพิจารณาแก้ไขโดยเร่งด่วน
ท้ายที่สุดนี้ยังคงมีความเป็นไปได้อย่างมาก สำ หรับการปลูกสตรอเบอรี่ให้เป็นการค้า
อย่างจริงจังในประเทศไทย เกษตรกรผู้ปลูกทั้งหมด กำ ลังรอความหวังจากมหาวิทยาลัย หน่วย
งานของรัฐและเอกชนเพื่อช่วยพวกเขาในการแก้ปัญหา การรวมกันขององค์ประกอบ ดังเช่น
ภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำ นวยทางเศรษฐกิจ ตัวเกษตรกรเอง และการทำ งานกันอย่างเต็ม
ที่ของทีมงานวิจัยจากทางมหาวิทยาลัย ก็คาดได้ว่าจะส่งผลทำ ให้การปลูกสตรอเบอรี่ ของ
ประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมการค้าที่สดใสและเกิดมีชื่อเสียงมากขึ้น ในอนาคต
อันใกล้นี้

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

Translate

Popular Posts